ประเด็นร้อนที่ทุกคนจับตามองอยู่ในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นข่าวที่ College Board ได้ออกมาประกาศว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคมของปี 2023 เป็นต้นไป ข้อสอบ SAT จะเป็นการสอบแบบ “digital” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการยกข้อสอบไปทำบนออนไลน์ แต่จะรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ section ของข้อสอบ ประเภทคำถาม ระยะเวลาของการสอบ เกณฑ์การคิดคะแนน รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ อีกด้วย
แน่นอนว่าสำหรับนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงนี้สำคัญเป็นอย่างยื่ง ซึ่งกลุ่มนักเรียนที่จะได้รับผลประทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงนี้คือนักเรียนชั้นเกรด 10 (Year 11) หรือ นักเรียนที่จะจบมัธยมปลายในปี 2024 นั่นเอง
โดยปกติแล้วการเตรียมตัวสอบ SAT จะเกิดขึ้นในช่วงปีการศึกษาของเกรด 11 โดยกลุ่มที่กำลังเตรียมสอบ SAT แบบปกติอยู่ก็คือ Class of 2024 โดยรอบต่อไปที่ต้องสอบก็คือ รอบสิงหาคม ตุลาคม และธันวาคม หากทำคะแนนได้ถึงเป้าที่วางไว้ภายในสิ้นปี 2022 ก็คงไม่มีปัญหา แต่หากยังไม่ได้คะแนนที่พอใจ นักเรียนกลุ่มนี้ต้องเตรียมตัวใหม่หมดเพื่อทำข้อสอบ Digital SAT ที่จะเริ่มในปี 2023
กลุ่มนักเรียน Class of 2024 จึงจำเป็นต้องตัดสินใจและวางแผนการสอบ SAT ให้รอบคอบและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการเตรียมสอบทั้ง SAT แบบปัจจุบันและ Digital SAT ทางสถาบันแนะนำให้กลุ่ม Class of 2024 สอบ SAT ให้เสร็จก่อนการเปลี่ยนเป็น Digital SAT และรอบสุดท้ายที่จะสอบได้ก็คือเดือนธันวาคม ของปี 2022 นี้ เพราะสิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เรื่องของความยากง่ายของข้อสอบแบบ Digital แต่เป็นการที่ในปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับข้อสอบแบบใหม่นี้มากเพียงพอ จึงทำให้เตรียมตัวสอบได้ยาก
และนี่คือ 4 เหตุผลว่าทำไมเราจึงแนะนำให้นักเรียนเตรียมตัวสอบ SAT ที่เป็น paper-based ก่อนการเปลี่ยนแปลงนี้
1. ข้อมูลเกี่ยวกับ Digital SAT มีน้อยมากเมื่อเทียบกับ SAT แบบ paper ที่สอบอยู่ในปัจจุบัน
ข้อสอบ SAT ที่เราสอบกันอยู่ในปัจจุบันได้เริ่มใช้เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2016 นั่นหมายความว่าเรามีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับข้อสอบ ไม่ว่าจะเป็น หัวข้อการสอบ และวิธีวัดผลของคำถามที่ออก ซึ่งมาจากการออกข้อสอบในรูปแบบนี้ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าทาง College Board จะประกาศว่านักเรียนจะได้รับข้อมูลเพื่อเตรียมตัว Digital SAT อย่างแน่นอน แต่หากดูที่กำหนดการการปล่อยข้อมูล(ด้านล่าง) จะเห็นได้ชัดว่า กว่าเราจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอสำหรับเตรียมตัว เวลาที่จะเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดสำหรับการสอบนั้นค่อนข้างกระชั้นชิด อีกทั้งจำนวนชุดข้อสอบที่จะได้รับในการฝึกทำก็ยังน้อยมาก
กำหนดการการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ Digital SAT จาก College Board
Summer 2022(มิถุนายน-สิงหาคม 2022) | “Test specifications” : แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับจำนวน section, ระยะเวลาสอบ, จำนวนคำถาม และอื่นๆ “Sample questions” ชุดแรก |
Autumn 2022(กันยายน-พฤศจิกายน 2022) | ข้อสอบสำหรับฝึกทำแบบ digital ชุดแรกข้อสอบสำหรับฝึกทำ “ฉบับเต็ม” ชุดแรก |
*หมายเหตุ: ช่วงเวลา “Summer” และ “Autumn” ของทาง College Board จะอิงกับฤดูของฝั่งตะวันตก
ถ้าพิจารณาจากตารางนี้แล้ว จะเห็นได้ว่านักเรียนแทบจะไม่มีทางเตรียมตัวสอบ Digital SAT ในช่วง Summer 2022 ซึ่งตรงกับเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมของบ้านเรา หรือ ช่วงปิดเทอมใหญ่ของโรงเรียนนานาชาติในไทย ได้เลย
2. จำนวนข้อสอบแบบฝึกหัดของ SAT ในปัจจุบันมีเยอะกว่า Digital SAT เป็นอย่างมาก และเราอาจไม่มีคลังข้อสอบ Digital SAT ที่มากมายหลากหลายเมื่อเทียบกับข้อสอบ paper-based ที่มีอยู่
นักเรียนที่กำลังเตรียมตัวสอบ SAT แบบปัจจุบันในตอนนี้มีคลังแบบฝึกหัดให้เลือกฝึกหลากหลาย ทั้งจากข้อสอบ SAT เก่า (“past papers”) จากรอบสอบจริง รวมถึง PSAT ซึ่งมีมากกว่า 70 ชุดให้เลือกใช้
แต่สำหรับ Digital SAT เราจะต้องรอจนถึงกลางปี เพื่อจะทราบถึงข้อมูลพื้นฐานง่ายๆ เช่น จำนวนข้อที่ออก หรือแม้กระทั่งการสอบจะใช้เวลาเท่าไหร่ ส่วนแบบฝึกหัดและชุดข้อสอบเต็มก็ต้องรอไปจนถึงช่วง Autumn 2022 (รายละเอียดอ่านได้จากตารางด้านบน)
คำถามสำคัญคือ จำนวนชุดข้อสอบแบบเต็มที่ทาง College Board จะปล่อยออกมาให้นักเรียนฝึกทำนั้นมีกี่ชุด? คำถามนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ แต่หากอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ SAT ในปี 2016 (การเปลี่ยนจาก SAT ที่คะแนนเต็ม 2400 มาเป็น 1600) ในตอนนั้นทาง College Board ได้ปล่อยชุดข้อสอบออกมาแค่ 4 ชุดเท่านั้น
ใครที่วางแผนว่าอยากเตรียมตัวสอบ Digital SAT ตั้งแต่ปิดเทอม summer ในปี 2022 คงต้องคิดให้ดี เพราะคงไม่มีข้อสอบจริงให้ได้ฝึกทำ และอาจต้องเสียเวลาอันมีค่าในช่วงกลางปีนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์
3. สถิติจาก College Board แสดงให้เห็นว่านักเรียนที่มีข้อมูลและมีข้อสอบให้ฝึกทำนั้น สามารถทำคะแนนได้สูงกว่า – อีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมควรเลือกสอบ SAT แบบปัจจุบัน มากกว่าเลือกเสี่ยงกับข้อสอบแบบใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบข้อสอบจากคะแนนเต็ม 2400 ไปเป็น 1600 ในปี 2016 นั้น College Board ให้ข้อสอบมาฝึกทำแค่ 4 ชุด ถึงแม้ว่าจะมีแบบฝึกหัดจาก Khan Academy อีกจำนวนหนึ่งมาเสริม แต่ผลสอบของนักเรียนกลุ่มแรกที่ได้สอบ SAT แบบใหม่ก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร
แต่ เมื่อนักเรียนมีข้อสอบและแบบฝึกหัดให้ทำมากขึ้น ผลสอบ SAT ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สามารถดูได้จากตาราง percentile ที่ College Board ปล่อยออกมาทุกๆปี
Score | 2017 | 2018 | 2019 | 2020 |
1600 | 99+ | 99+ | 99+ | 99+ |
1590 | 99+ | 99+ | 99+ | 99+ |
1580 | 99+ | 99+ | 99+ | 99+ |
1570 | 99+ | 99+ | 99+ | 99+ |
1560 | 99+ | 99+ | 99+ | 99+ |
1550 | 99+ | 99+ | 99+ | 99 |
1540 | 99+ | 99 | 99 | 99 |
1530 | 99+ | 99 | 99 | 99 |
1520 | 99 | 99 | 99 | 99 |
1510 | 99 | 99 | 99 | 98 |
1500 | 99 | 99 | 98 | 98 |
1490 | 99 | 98 | 98 | 98 |
1480 | 99 | 98 | 98 | 97 |
สังเกตได้ว่าในปี 2017 ถึง 2020 นักเรียนที่ได้ 99th percentile สูงขึ้นทุกปี และคะแนน 1480 กลายเป็นเพียง 97th percentile แสดงให้เห็นว่านักเรียนทำคะแนนได้สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีจำนวนชุดข้อสอบให้ฝึกทำเพิ่มขึ้น
จากสถิติเหล่านี้ จึงทำให้เราเป็นกังวลว่า นักเรียน Class of 2024 ที่คิดจะรอสอบ Digital SAT มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะได้คะแนนน้อย (เหมือนกับนักเรียนในปี 2017) จากการที่ไม่มีชุดข้อสอบให้ฝึกทำและไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการเตรียมตัว
4. การที่ SAT เป็น digital ไม่ได้หมายความว่าข้อสอบจะง่ายขึ้น
College Board ได้ให้ข่าวว่า Digital SAT จะเป็นข้อสอบที่ทำให้ผู้สอบ “เครียดน้อยลง” และ “สอบง่ายขึ้น” รวมถึงได้โฆษณาว่ามีการปรับเปลี่ยนหลายจุดเพื่อทำให้ข้อสอบ “สะดวกแก่ผู้สอบมากขึ้น” เช่น ตัวข้อสอบและ reading passage จะสั้นลง มีการเพิ่มเวลาในการทำแต่ละข้อให้ และจะยกเลิกข้อสอบพาร์ทเลขที่ห้ามใช้เครื่องคิดเลข
นอกจากนี้ ยังมีความเห็นบนเว็บ Reddit (คล้ายพันทิปของไทย) จากนักเรียนที่อ้างว่าเป็นกลุ่มที่ได้ลอง “pilot testing” ข้อสอบ SAT digital ซึ่งอ้างว่าข้อสอบแบบใหม่ ง่ายกว่ามาก จึงทำให้เกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันจากนักเรียนรุ่นก่อนๆ ว่า “ไม่ยุติธรรม” และ “นักเรียนที่สอบแบบดิจิตอลก็จะมีคะแนนที่สูงกว่าคนที่สอบแบบกระดาษ”
แต่ข่าวลือที่ว่าข้อสอบ SAT digital จะ “ง่ายกว่า” นั้นไม่จริง และไม่สมเหตุสมผลเพราะ
- “Pilot testing” ไม่ใช่การสอบจริงๆ นักเรียนที่เข้าร่วมการทดสอบนั้นได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน และไม่ได้รับคะแนนจากที่ไปสอบด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรตั้งความหวังว่าข้อสอบ Digital SAT ตัวจริงจะง่ายเหมือนกับใน pilot test อีกทั้งหลายคนต่างให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า คำถามที่ปรากฎอยู่ใน pilot test เป็นเพียงคำถามหลอก จุดประสงค์ของ pilot test คือทดสอบระบบและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำมาใช้มากกว่า
- ข้อสอบที่ “ง่าย” ไม่ได้หมายความว่าจะมีประโยชน์กับนักเรียนที่สอบ เพราะถ้าข้อสอบใหม่นั้นง่ายจริงๆ นักเรียนทุกคนก็จะได้คะแนนสูงกันหมด ดังนั้น ข้อสอบวัดมาตรฐาน หรือ “standardized test” ก็จะหมดประโยชน์ เนื่องจากไม่สามารถวัดความสามารถของนักเรียนแต่ละคนได้จริง
สำหรับใครที่คิดว่า Digital SAT จะทำให้ได้คะแนนเต็ม 1600 ได้ง่ายขึ้น และจะสามารถทำให้เข้ามหาวิทยาลัย เช่น Harvard หรือ Stanford ได้ง่ายขึ้น คงต้องเปลี่ยนความคิด เพราะไม่ว่า SAT จะถูกปรับให้เป็นรูปแบบ digital แล้วก็ตาม การได้คะแนนเต็ม 1600 หรือได้คะแนนสูงๆ ก็ยังคงไม่ได้ได้มาง่ายๆ แต่น่าจะยิ่งยากมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนรูปแบบข้อสอบจากปัจจุบันที่เราคุ้นเคยไปสู่ Digital SAT